การให้ความสำคัญในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ

เด็ก คือทรัพยากรที่สำคัญยิ่งของประเทศชาติ ซึ่งจะเป็นกำลังที่สำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าและมั่นคง อีกทั้งเป็นผู้ที่จะต้องเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เพื่อทำหน้าที่ดูแลสังคมตลอดจนเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความเปลี่ยนแปลง และอื่นๆ ดังนั้นทุกสังคมจึงให้ความสำคัญแก่เด็ก และจัดให้มีวันเด็กขึ้นทุกปี เพื่อให้เด็กรู้ถึงความสำคัญของตนเอง จะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้สมกับเป็นผู้ที่มีความสำคัญของประเทศชาติ ด้วยการตั้งใจใฝ่ศึกษาเรียนรู้ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัย รู้จักการใช้เวลา ความคิด มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ และซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ

วันเด็กแห่งชาติของทุกๆปี เรามักจะเห็นภาพหน่วยงาน องค์กร บริษัท ห้างร้านต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมแรงร่วมใจให้การสนับสนุนและร่วมกันจัดงานเพื่อส่งมอบความสุขให้กับเด็กๆกันอย่างถ้วนหน้า ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นภาพเช่นนี้จนคุ้นชินเพียงเฉพาะในวันเด็กแห่งชาติเท่านั้นเอง จนหลายครั้งได้แอบหวังว่าถ้าหากทุกภาคส่วนในสังคมที่มีความพร้อมช่วยเหลือสังคมได้ร่วมแรงผสานใจหยิบยื่นแบ่งปันรินน้ำใจไมตรีส่งผ่านไปยังกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมได้มีพลังความพร้อมที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะช่วยขจัดความแตกต่างลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมลงได้บ้าง

โดยงานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมจนถึง พ.ศ. 2506 และใน พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการจนถึงทุกวันนี้ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ โดยการจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติในแต่ละประเทศขณะนั้นมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ โดยยึดหลักการให้ความสำคัญแก่เด็กเป็นวัตถุประสงค์หลัก โดยเปิดสถานที่ราชการที่สำคัญเช่น พิพิธภัณฑ์ รัฐสภา เป็นต้น เพื่อให้เด็กๆได้เข้าชมและศึกษา บางแห่งจัดการแสดงมหรสพ มีการแจกอาหาร แข่งขันเกม แจกของขวัญ ฯลฯ ต่อมางานนี้ได้รับความสำคัญทั่วโลกจึงได้จัดกันแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน

เลี้ยงลูกยุคไอแพ็ด อิทธิพลของเทคโนโลยีต่อเด็ก

ในขณะที่เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ตลอดจนการดำเนินชีวิตของครอบครัวไทยมีความแตกต่างไปจากเดิม การเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันดูจะเป็นปัญหาสำหรับพ่อแม่ไม่ใช่น้อย ว่าควรจะเลี้ยงอย่างไรให้เด็กเติบโตเป็นคนดีและมีคุณภาพ

เด็กใช้ไอแพด ไอโฟน แทปเล็ด อย่างคล่องแคล่วเหมือนที่ผู้ใหญ่ พ่อแม่กำลังเลี้ยงลูกในสภาพแวดล้อมที่ไฮเทค แล้วอิทธิพลของเทคโนโลยีจะส่งต่อเด็กอย่างไร คุณเคยประหลาดใจบ้างไหมเวลาเห็นเด็กอายุ 2 ขวบกำลังใช้ไอแพดอย่างคล่องแคล่วเหมือนที่ผู้ใหญ่ทำ เชื่อหรือไม่ว่านี่คือความจริงที่บรรดาผู้ปกครองกำลังพบว่าพวกเขากำลังเลี้ยงดูลูกในสภาพแวดล้อมที่ไฮเทค เด็ก ๆ เหล่านั้นใช้เทคโนโลยีได้ดีเหมือนกับการปล่อยเป็ดลงน้ำทีเดียว คุณอาจเกิดความรู้สึกว่าเทคโนโลยีเปรียบเหมือนสายน้ำซึ่งไม่มีวันหยุดไหล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ลูกของคุณ จะเติบโตเป็นคนยุคดิจิตัลตั้งแต่เกิด การเติบโตมากับเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความถูกต้องเป็นข้อได้เปรียบสำหรับเด็กยุคไอแพดแน่นอน แต่การมาพร้อมกับความถูกต้องไม่ได้เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้มากมายเช่นกัน

เด็กยุคไอแพ็ดกับการสื่อสาร
ด้านดีเกี่ยวกับสังคมยุคเทคโนโลยีก็คือ เด็กยุคไอแพ็ดสามารถรับข้อมูลข่าวสารแค่ปลายนิ้วสัมผัส บางทีคุณอาจได้เห็นกับตามาแล้วเวลาที่ลูกคุณเข้ายูทูบเพื่อค้นหาทำนองหรือรูปแบบที่แตกต่างของเพลงกล่อมสุดโปรดอย่างสบายอารมณ์ นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะว่าเด็ก ๆ เป็นพวกชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นอกจากนี้พวกเขาสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างฉับไวจากทุกมุมโลก หากคุณมีครอบครัวอยู่ต่างประเทศก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะพวกเขาไม่ต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าของลูกคุณ เพียงแต่พวกเขารู้วิธีการใช้สไกป์ กูเกิ้ลแฮงเอ้าท์ หรือวอทแซบบ์

อีกมุมมองหนี่งก็คือ มันมีอัตรายมากมายในโลกอินเตอร์เน็ต มีความผิดพลาดด้านข่าวสารมากมาย  รวมถึงสิ่งล่อใจเช่นการหลอกลวงแนะนำให้ใช้ยาเสพติด  เกมออนไลน์ และสิ่งลามก การคุกคามในโลกไซเบอร์เป็นมาตรฐานใหม่ อาจเป็นโชคร้ายที่บรรดาผู้ปกครองมองไม่เห็น
การเลี้ยงดูเด็กยุคไอแพ็ด
ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของเด็กยุคไอแพ็ด อย่ารีบร้อนที่จะคิดว่าคุณจะเลี้ยงดูลูกของคุณอย่างไร การหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีทั้งหมดไม่ใช่คำตอบในเมื่อเด็กๆทั้งหลายต้องเป็นเด็กยุคดิจิตัลเพื่อความอยู่รอดในโลกแห่งอนาคต แต่การเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ บรรดาผู้ปกครองคงจะต้องกำหนดมาตรการว่าจะอนุญาตให้เด็กใช้อุปกรณ์ เช่น  ไอแพ็ดและสมาร์ทโฟนรวมถึงแอปต่างๆอย่างไร และวางกฏการใช้ว่า จะใช้อุปกรณ์เหล่านั้นได้บ่อยและนานแค่ไหน

เด็กติดเทคโนโลยีมีผลต่อกระทบพัฒนาการ

เด็กสมัยนี้ เพียงแค่ไม่กี่ขวบก็ใช้คอมพิวเตอร์ เล่น iPad iPhone ของคุณพ่อคุณแม่กันเป็นแล้ว กดปุ่ม เลื่อนสไลด์กันได้อย่างคุ้นเคย เพิ่มขึ้นจากสื่อเดิมๆ อย่างทีวี หรือคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งอิทธิพลจากเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าถึงเด็กๆ ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าเดิม และส่งผลกระทบต่อเด็กพอสมควรทีเดียว

เข้าถึงเทคโนโลยีเร็วขึ้น
ในปัจจุบันเด็กเล็กๆ เข้าถึงเทคโนโลยีรวดเร็วมาก ซึ่งสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปีถือว่าเร็วไปมาก เพราะในอายุระหว่าง 1-3 ปีนี้ เด็กควรพัฒนาการเคลื่อนไหว พื้นฐานการช่วยเหลือตัวเอง เรียนรู้ทักษะทางด้านสังคมรวมทั้งการสื่อสารกับผู้อื่นเป็นหลัก เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนการเรียนรู้ผ่านการเล่นกลางแจ้ง การทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ นอกจากนั้นพื้นฐานของพัฒนาการซึ่งมีความจำเป็นในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ก็ยังพัฒนาได้ไม่ดี เช่น การควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อมือ การทำงานที่ประสานกันระหว่างสายตาและมือ ช่วงวัยนี้เด็กยังไม่สามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นบทบาทหน้าที่ของคุณพ่อ คุณแม่ที่จะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของการเข้าถึงสื่อและเทคโนโลยีตามบริบท และบรรทัดฐานของครอบครัว อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ใช้เทคโนโลยีโดยมีเป้าหมายส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยนี้

ผลกระทบต่อพัฒนาการ
การเร่งเด็กมากเกินความสามารถและพัฒนาการตามวัยของเขา ทำให้เด็กเสียโอกาสการเรียนรู้อย่างเหมาะสมตามวัย เพราะการเรียนรู้อย่างเหมาะสมเป็นขั้นตอนจะเป็นพื้นฐานที่ดีต่อการต่อยอดความสามารถด้านอื่น เช่น เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กในช่วงวัยนี้อาจทำให้เด็กซึ่งควรได้รับการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวให้คล่องขึ้น มีการเคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้ไม่สามารถพัฒนาตัวเองด้านนี้ได้เต็มที่ อาจทำให้เป็นเด็กที่เฉื่อยชา ซึ่งหมายถึงมีความล่าช้าของพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว ไม่ชอบการออกกำลังกาย ไม่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อออกกำลังกายน้อยลงหากรับประทานเท่าเดิม หรือรับประทานมากขึ้นแต่มีการเคลื่อนไหวน้อยก็จะเกิดโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินตามมาได้ การให้เด็กอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินความจำเป็นยังทำให้เด็กขาดทักษะในการติดต่อสื่อสารผ่านการพูดคุยกับผู้อื่น ทักษะในการปรับตัวเข้าหาผู้อื่น รู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักต่อรอง รู้จักอดทนรอคอย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคตของเขา นอกจากนี้เด็กอาจได้เรียนรู้แบบอย่างที่ไม่ดีผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น จากรายการโทรทัศน์ จากโฆษณา หรือเกมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ซึ่งอาจมีความรุนแรงหรือสอดแทรกค่านิยมที่ไม่เหมาะสมผ่านสื่อต่างๆเหล่านั้น นอกจากนี้อาจมีผลกระทบทางด้านสุขภาพร่างกายของเด็กเล็กๆ เช่น แสงจากจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ที่ไม่เหมาะสมอาจมีผลต่อสายตาและการมองเห็นของเด็กได้

เทคโนโลยีนั้นอาจมีประโยชน์ หากเราใช้ให้เป็น แต่ก็อาจเป็นดาบสองคม หากเอามาใช้ผิดเพี้ยนไป หากสำหรับเด็กแล้ว ควรวางรากฐานพัฒนาการให้ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ก่อน ซึ่งมีหลายเรื่องให้ได้เรียนรู้ โดยไม่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีเสมอไป

เทคโนโลยีกับการเลี้ยงลูกเรื่องที่พ่อแม่ควรเท่าทัน

ปัจจุบันวิถีชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก ด้วยปัจจัยหลายอย่างทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมต่างชาติ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ครอบครัวไทยเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนมาก เพราะต้องดิ้นรนทำมาหากิน ส่งผลให้ความใกล้ชิด และการดูแลเอาใจใส่ระหว่างกันมีน้อยลง

“สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องปรับตัวตามยุคสมัยให้ทัน โชคดีที่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นผู้ช่วยสำหรับพ่อแม่เพื่อจัดระเบียบชีวิตที่วุ่นวายทั้งการงานและครอบครัวให้สมดุล เช่น เมื่อก่อนมีปัญหาเรื่องเลี้ยงลูกก็ถามปู่ย่า เดี๋ยวนี้แค่เสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต หรือเข้าไปดูตามเว็บบอร์ดต่างๆ ก็มีข้อมูลให้มากมาย และยังช่วยบริหารเวลาที่มีอยู่น้อยได้อย่างคุ้มค่า เพิ่มความมั่นใจและมีความสุขในการเลี้ยงลูกมากขึ้น”

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้กับพ่อแม่ยุคใหม่ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจด้วยก็คือ พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันถึงคุณประโยชน์และโทษของเทคโนโลยีเหล่านี้ รวมถึงหากมีการนำเทคโนโลยีมาใช้กับลูกต้องปรับการใช้งานให้เหมาะสมตามวัยและพัฒนาการ “ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องตั้งเป้าหมายและประโยชน์ที่ต้องการให้ลูกได้รับจากสื่อนั้นๆ สำคัญคือต้องรู้จักธรรมชาติของลูกเราด้วยว่าควรจะสอนอย่างไรให้เหมาะสม ขณะที่เราเลี้ยงลูกเราจะรู้ได้เองจากการสังเกตว่าลูกสนใจอะไร มีความถนัดด้านใด ก็ควรส่งเสริมให้ไปในทางที่เขาชอบ ไม่ควรกีดกันหรือห้ามลูกไม่ให้สัมผัสกับอินเทอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีใดๆ เลย ตรงกันข้ามควรส่งเสริมให้เขาได้ฝึกใช้เพื่อตามโลกได้ทัน”

การให้ลูกเข้าใช้สื่อ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ควรอยู่ในความดูแลของพ่อแม่อย่างใกล้ชิดและมีกฎกติกาชัดเจนด้วย เช่น ตั้งกฎให้ลูกเล่นเกม หรืออินเทอร์เน็ตหลังจากทำการบ้านเสร็จเรียบร้อย ควรให้พักสายตาทุก ๆ 20-30 นาที เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสายตาสั้นไปจนถึงต้อกระจกในเด็ก หมั่นชวนลูกละจากหน้าจอไปทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติและช่วยพัฒนาทักษะรอบด้าน หากออกนอกลู่นอกทางก็ตักเตือน แต่ไม่ควรไปเร่งรัดมากเกินไป ทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรมชาติ

ดังนั้น ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด ขอเพียงคุณพ่อคุณแม่รู้จักปรับตัว และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่รอบกายอย่างรู้เท่าทันและเหมาะสม ก็จะสามารถหล่อหลอมให้ครอบครัวเข้มแข็งและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในโลกสมัยใหม่ได้

อย่าใช้เทคโนโลยีในการดูแลเด็ก

ฟังคำแนะนำจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ เผยการดูแล-ใกล้ชิดลูก คือภูมิคุ้มกันชั้นยอด แนะผู้ปกครองอย่าใช้อารมณ์เป็นทางออก ใช้หากิจกรรมอื่นสร้างประโยชน์ ช่วยดึงความสนใจเด็กจากแท็บเล็ต-สมาร์ทโฟน-คอมพ์ ได้…

ความบันเทิงประเภท “เกม” มักจะเป็นเครื่องคลายเครียด คลายเหงา แถมยังเป็นพฤติกรรมเพลินๆ ที่ช่วยฆ่าเวลาว่างให้เราได้ดีเสมอมา แต่… เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์หรือปัญหา อาทิ การฉ้อโกง ความรุนแรง ความเสียหาย หรือแม้แต่การล่อลวงขึ้นในสังคม จากเกมที่เคยเป็นศูนย์รวมความบันเทิง กลายเป็นอบายมุขไปทันที

เห็นกันง่ายๆ ใกล้ตัว และปรากฏเป็นข่าวร้อนตามสื่อต่างๆ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากที่สุดข่าวหนึ่ง คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวชวนตะลึง หลังจากผู้เป็นแม่เปิดโอกาสให้ลูกนำสมาร์ทโฟนไปเล่นเกม ทำให้จุดเริ่มต้นความบันเทิงใกล้ตัวอย่างเกมบนมือถือ กลายเป็นหนี้สินไปในชั่วพริบตา

“ปัญหาเกี่ยวกับการเล่นเกมมีให้เราพบเห็นมาก ก็เพราะเทคโนโลยีเข้าใกล้เยาวชนมากขึ้น พ่อแม่จำเป็นต้องดูแลลูกให้ใกล้ชิด เมื่อเกิดปัญหา บางคนบอกว่าจะไม่ให้ลูกเล่นเกมอีกแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเด็กเล็ก แต่กับเด็กวัยรุ่นที่กำลังโตคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะห้ามพวกเขา เพราะปัจจุบันเกมกลายเป็นสังคมหนึ่งของเด็กๆ ไปแล้ว

จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ยังแนะนำด้วยว่า ผู้ปกครองควรเลือกใช้ทางสายกลาง เช่น อนุญาตให้ลูกเล่นเกมได้แต่จะต้องเลือกเกม กำหนดเวลาการเล่น หรือตั้งกติการ่วมกันในการเล่นเกมแต่ละครั้ง หากเล่นเกมเกินเวลาหรือใช้เงินซื้อไอเทมเกมออนไลน์โดยไม่ขออนุญาต อาจต้องมีบทลงโทษห้ามเล่น 3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เพื่อฝึกและควบคุมพฤติกรรมพวกเขาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก นอกจากนี้ยังควรต้องหากิจกรรมอื่นให้ทำมากกว่าการเล่นเกม อาทิ ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือเล่นเกมแบบไทยๆ เพราะนอกจากจะทำให้ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าการนั่งกดมือถือ-แท็บเล็ต เพื่อเล่นเกมแล้ว ยังได้ฝึกทักษะการเข้าสังคมอีกด้วย แต่หากไม่อยากให้เกิดปัญหาเรื่องการเล่นเกมตามมา ผู้ปกครองควรกำหนดกติการ่วมกับบุตรหลานตั้งแต่แรก เนื่องจากการป้องกันนั้นดีกว่าการแก้ไข นอกจากนั้น พ่อแม่ก็ต้องใกล้ชิด ดูแล และพยายามดึงลูกหลานออกมาทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย

“นอกจากเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองแล้ว ควรเป็นเพื่อนให้กับลูกๆ ด้วย นอกจากการสอนให้ลูกรู้จักการคิดและตัดสินใจ ก็ควรสอนให้เขาเท่าทันสังคมด้วย แม้จะเป็นการพูดย้ำๆ ซ้ำๆ ก็จำเป็นต้องทำ แต่การสั่งหรือแนะนำก็ต้องไม่ใช้อารมณ์ พูดบ่อยได้แต่ก็ต้องไม่มากไปไม่น้อยไป นอกจากวัยเด็กจะต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว วัยรุ่นก็เป็นวัยที่พ่อแม่ต้องดูแลเช่นกัน แต่พฤติกรรมการดูแลอาจจะไม่ต้องใกล้ชิดมากเท่ากับวัยเด็ก ควรจะถอยห่างออกมาให้เขาได้มีอิสระและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ใหญ่จะสอนเด็กก็ควรต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีด้วย ไม่ใช่ว่าห้ามลูกเล่นเกมแต่ทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็เอาแต่กดมือถือจนไม่เงยหน้ามองคนในครอบครัว”